การบริหารจัดการน้ำ

       การบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใช้วิธีการที่เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศและทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นภูเขา ดินลาดชัน และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงน้ำ เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้มักเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำ การไหลบ่าของน้ำฝนที่เร็ว และการพังทลายของดิน หลักการและแนวทางการจัดการน้ำที่เหมาะสมจะช่วยให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม

 

การบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูง

  • หลักการบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูง

1.1 การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน (Sustainable Water Management)

      - เน้นการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่กระทบต่อความต้องการของคนรุ่นต่อไป

      - พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยเก็บกักและกระจายน้ำ

1.2 การจัดสรรน้ำอย่างเป็นธรรม (Equitable Water Distribution)

      - จัดสรรน้ำให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละภาคส่วน เช่น เกษตรกรรม การอุปโภค- บริโภค และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

1.3 การป้องกันการสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ

      - ลดการไหลบ่าของน้ำฝนโดยใช้แนวกันน้ำและระบบกักเก็บน้ำ

      - ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้ใช้น้ำอย่างคุ้มค่า เช่น ระบบน้ำหยดและฝายชะลอน้ำ

1.4 การอนุรักษ์แหล่งต้นน้ำ

      - ฟื้นฟูป่าต้นน้ำเพื่อให้ระบบนิเวศสามารถกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น

      - ควบคุมการใช้ที่ดินไม่ให้กระทบต่อระบบการไหลของน้ำ

1.5 การมีส่วนร่วมของชุมชน

      - ให้ชุมชนมีบทบาทในการบริหารจัดการน้ำ เช่น การดูแลฝาย การบริหารจัดสรรน้ำ

 

  • องค์ความรู้เกี่ยวกับน้ำบนพื้นที่สูง

2.1 คุณสมบัติของน้ำบนพื้นที่สูง

      - น้ำส่วนใหญ่มาจาก น้ำฝน และแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น ลำธารและธารน้ำแข็ง

      - การซึมลงของน้ำในดินมีความสำคัญต่อการกักเก็บน้ำใต้ดิน

2.2 ปัญหาการจัดการน้ำบนพื้นที่สูง

     - การขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง เนื่องจากน้ำไหลบ่าลงที่ต่ำอย่างรวดเร็ว

     - น้ำท่วมฉับพลันในฤดูฝน จากการไหลบ่าของน้ำฝนที่เร็วและไม่มีการดูดซับในดิน

     - การชะล้างหน้าดินและการเสื่อมโทรมของดิน ซึ่งทำให้แหล่งน้ำตื้นเขินและสูญเสียความสามารถ

       ในการกักเก็บน้ำ

2.3 รูปแบบแหล่งน้ำบนพื้นที่สูง

  1. แหล่งน้ำผิวดิน (Surface Water) เช่น ลำธาร หนอง บึง และอ่างเก็บน้ำ
  2. แหล่งน้ำใต้ดิน (Groundwater) เช่น ตาน้ำและบ่อบาดาล

 

  • แนวทางการบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูง

3.1 การพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ

      - ฝายชะลอน้ำ (Check Dam): ช่วยชะลอการไหลของน้ำ ลดการชะล้างดิน และเพิ่มความชุ่มชื้น ให้กับดิน

      - อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก (Small Reservoirs): กักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง

      - ธนาคารน้ำใต้ดิน (Groundwater Bank): เติมน้ำลงสู่ชั้นน้ำใต้ดินเพื่อใช้ในอนาคต

3.2 การชะลอการไหลของน้ำฝน

      - การทำแนวกันน้ำ (Contour Trenches): ขุดร่องน้ำตามแนวระดับเพื่อชะลอการไหลของน้ำ

      - การปลูกป่าต้นน้ำ: เพิ่มการดูดซับน้ำของดินและป้องกันการชะล้างหน้าดิน

3.3 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในภาคเกษตร

      - ระบบน้ำหยด (Drip Irrigation): ใช้น้ำในปริมาณที่เหมาะสมและลดการสูญเสียน้ำ

      - การเพาะปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย: เช่น พืชสมุนไพร หรือพืชที่ทนแล้ง

3.4 การฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำและป่าชุมชน

      - การปลูกต้นไม้ที่ช่วยกักเก็บน้ำ: เช่น ต้นไผ่ หรือต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยรักษาความชื้น

      - การสร้างแนวกันไฟป่า: ลดความเสี่ยงของไฟป่าที่ทำลายป่าต้นน้ำ

3.5 การบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน

      - จัดตั้งกลุ่มบริหารจัดการน้ำในหมู่บ้าน เพื่อกำหนดกติกาการใช้น้ำร่วมกัน

      - การใช้เทคโนโลยีตรวจวัดน้ำอัจฉริยะ (Smart Water Management): ใช้เซ็นเซอร์ตรวจสอบ

      ระดับน้ำและคุณภาพน้ำ

 

  • เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยในการบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูง

4.1 ระบบตรวจวัดสภาพอากาศ (Weather Monitoring System)

      - ใช้เซ็นเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และความชื้น เพื่อช่วยพยากรณ์น้ำ

4.2 ระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ (Smart Water Management System)

      - ใช้ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันติดตามการใช้น้ำและแจ้งเตือนเมื่อมีภัยแล้งหรือฝนตกหนัก

4.3 การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในการสูบน้ำ

      - ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบน้ำขึ้นไปกักเก็บบนที่สูง

 

  • กรณีศึกษาความสำเร็จในการบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูง

5.1 โครงการหลวง (Royal Project), ประเทศไทย

      - ใช้แนวทางฟื้นฟูป่าต้นน้ำและพัฒนาแหล่งน้ำ เช่น การสร้างฝายชะลอน้ำ

      - ส่งเสริมการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยและระบบเกษตรผสมผสาน

     สรุป

      การบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูงต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมตั้งแต่การเก็บกักน้ำ การชะลอการไหลของน้ำ การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและการใช้เทคโนโลยี ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนการจัดการน้ำ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆให้เหมาะสม ทั้งนี้ การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำและการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำมีบทบาทสำคัญในการทำให้ทรัพยากรน้ำบนพื้นที่สูงสามารถใช้ได้อย่างยั่งยืน

แหล่งน้ำต้นทุน (Water Resources)

 

แหล่งน้ำต้นทุน (Water Resources) คืออะไร?

แหล่งน้ำต้นทุนคือแหล่งน้ำที่สามารถนำมาใช้เป็นต้นน้ำสำหรับการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้า โดยแหล่งน้ำต้นทุนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้:

แหล่งน้ำต้นทุนผิวดิน (Surface Water Sources) เป็นแหล่งน้ำที่อยู่บนพื้นดินและสามารถมองเห็นได้ชัดเจน เช่น:

  • แม่น้ำ ลำคลอง → เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำโขง, คลองแสนแสบ
  • ทะเลสาบ หนอง บึง → เช่น ทะเลสาบสงขลา, บึงบอระเพ็ด
  • อ่างเก็บน้ำ เขื่อน → เช่น เขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์, เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
  • น้ำฝน → ใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุนผ่านระบบกักเก็บน้ำฝน

ข้อดี: สามารถนำมาใช้ได้ง่ายและสะดวก
ข้อเสีย: ปริมาณอาจแปรผันตามฤดูกาลและเสี่ยงต่อมลพิษ

 แหล่งน้ำต้นทุนใต้ดิน (Groundwater Sources) เป็นแหล่งน้ำที่สะสมอยู่ใต้ผิวดินและต้องใช้วิธีขุดเจาะขึ้นมา เช่น:

  • น้ำบาดาล → ใช้ผ่านบ่อบาดาล เช่น บ่อน้ำบาดาลตื้น-ลึก
  • ตาน้ำ (Springs) → น้ำใต้ดินที่ไหลออกมาตามธรรมชาติ เช่น ตาน้ำร้อน, น้ำพุเย็น
  • ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifers) → เป็นแหล่งสะสมน้ำใต้ดินในชั้นหิน

ข้อดี: มีความคงที่กว่าฤดูกาล เปลี่ยนแปลงน้อย
ข้อเสีย: ต้องใช้เทคโนโลยีในการขุดเจาะ และอาจเกิดปัญหาน้ำเค็มหรือน้ำกร่อย

 

ปัจจัยที่มีผลต่อแหล่งน้ำต้นทุน

1. ปริมาณฝน → หากฝนตกน้อย อาจส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนลดลง

2. สภาพภูมิประเทศ → พื้นที่สูงชัน น้ำอาจไหลเร็วลงสู่แม่น้ำแทนการซึมลงใต้ดิน

3. การใช้ที่ดิน → การตัดไม้ทำลายป่า ทำให้การซึมน้ำลงดินลดลง

4. มลพิษทางน้ำ → ขยะและสารเคมีทำให้แหล่งน้ำใช้ประโยชน์ได้น้อยลง

5. โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ → เช่น เขื่อน, อ่างเก็บน้ำ, ระบบชลประทาน

 แนวทางการบริหารจัดการน้ำต้นทุนอย่างยั่งยืน 

     1. สร้างและพัฒนาแหล่งน้ำ → เช่น อ่างเก็บน้ำ, ฝายชะลอน้ำ
     2. เพิ่มพื้นที่สีเขียว → ป่าต้นน้ำช่วยดูดซับน้ำฝนและรักษาน้ำใต้ดิน
     3.  ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างประหยัด → เช่น ใช้ระบบน้ำหยดในการเกษตร
     4.  จัดการคุณภาพน้ำ → ควบคุมมลพิษและบำบัดน้ำเสีย

^